Popular Posts

Thursday, February 28, 2013

อัมพาตมีวิธีการรักษาอย่างไร

อัมพาตมีวิธีการรักษาอย่างไร


 ในปัจจุบันที่คนเรามีอายุยืนขึ้น เนื่องมาจากปัจจัยหลายประการ เช่น การที่เรามีการดูแลสุขภาพร่างกาย การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การพักผ่อนที่เพียงพอและการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นต้น



          ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราละเลยสิ่งเหล่านี้ เช่น นอนดึก สูบบุหรี่จัด ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ทำให้เกิดเจ็บป่วยเป็นโรคต่าง ๆ ได้ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคตับ และในบรรดาโรคต่าง ๆ เหล่านี้ โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นโรคหนึ่งที่ไม่เพียงมีผลต่อผู้ป่วยเอง แต่ยังมีผลกระทบอย่างมากต่อญาติของผู้ป่วยด้วย ทั้งในแง่เวลา ค่ารักษาพยาบาลและการขาดรายได้ของญาติที่ต้องคอยพาผู้ป่วยมาหาแพทย์ ดังนั้นโรค อัมพาต จึงมีผลกระทบอย่างมาก ต่อเศรษฐกิจโดยรวมด้วย




 อัมพาต คืออะไร

          อัมพาต (Stroke) เป็นคำที่ใช้เรียกอาการอ่อนแรงครึ่งซีกหรือแตกก็ของร่างกาย หรือ ครึ่งท่อนล่างของร่างกาย ที่มีสาเหตุจากโรคหลอดเลือดสมอง หรือไขสันหลัง ซึ่งเกิดจากหลอดเลือดตีบหรือแตกก็ได้

          องค์การอนามัยโลก (World Health Organization หรือ WHO) ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า

          "เป็นอาการที่เกิดอย่างปัจจุบันทันที ต่อการทำงานของสมองบางส่วน หรือทั้งหมด โดยที่อาการนั้นเป็นอยู่นาน 24 ชม. หรือทำให้สูญเสียชีวิต ซึ่งมีสาเหตุมาจากโรคของหลอดเลือดเท่านั้น"

          คำว่า " อัมพาต" เรามักจะหมายถึง อาการอ่อนแรงจนไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้เลย

          ส่วนคำว่า " อัมพฤกษ์ " เราหมายถึงอาการอ่อนแรงที่ผู้ป่วยยังพอขยับร่างกายส่วนนั้นได้บ้าง โดยทั่วไปเรามักจะนึกว่า อัมพาต อัมพฤกษ์ จะต้องมีอาการอ่อนแรงเสมอ แต่โดยความเป็นจริงแล้ว การที่มีอาการชา หรือมีความรู้สึกลดน้อยลงครึ่งซีก ทั้งในแง่การรับรู้สัมผัส ความเจ็บปวด ความรู้สึกร้อนหรือเย็นที่ลดลง ก็เกิดจากโรคหลอดเลือดสมองได้ทั้งนั้น

          อาการจะต้องเกิดในทันทีทันใด เช่น ตื่นนอนเช้า ขณะกำลังทำงาน หรือกำลังทำกิจวัตรต่าง ๆ แล้วมีอาการชา หรืออ่อนแรงในบางคนอาจจะมีอาการเตือนมาก่อน เช่น มีอาการอ่อนแรงครึ่งซีก ตาข้างหนึ่งข้างใดมองไม่เห็นชั่วระยะเวลาสั้น ๆ แต่เป็นนาที หรือเป็นชั่วโมง แล้วอาการดีขึ้นเป็นปกติ ซึ่งถ้าผู้ป่วยมีการเตือนแล้วรีบมาพบแพทย์ ก็จะมีประโยชน์ในแง่ของการป้องกันการเกิด อัมพาต อัมพฤกษ์ได้

 อัมพาต พบในผู้สูงอายุบ่อยแค่ไหน

          จากการศึกษาของต่างประเทศพบว่า อัมพาต จะพบมากขึ้นตามอายุทั้งเพศชายและหญิง เช่น

           อายุ 45-54 ปี พบ อัมพาต ประมาณ 1 ต่อ ประชากร 1,000 ราย

           อายุ 56-64 ปี พบ อัมพาต ประมาณ 1 ต่อ ประชากร 100 ราย

           อายุ 75-84 ปี พบ อัมพาต ประมาณ 1 ต่อ ประชากร 50 ราย

           อายุมากกว่า 85 ปี พบ อัมพาตประมาณ 1 ต่อ ประชากร 30 ราย

          นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ชายมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิง ในช่วงอายุ 45-64 ปี แต่ถ้าอายุมากกว่า 65 ปีแล้ว โอกาสในการเกิด อัมพาต จะค่อนข้างเท่ากัน

 อะไรเป็นสาเหตุของ อัมพาต

          จากการศึกษาพบว่า ความดันโลหิตสูงโรคหลอดเลือดหัวใจ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เบาหวาน สูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิด อัมพาต ทั้งสิ้น เช่น ผู้ที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจ มีโอกาสเป็นอัมพาตมากกว่าคนไม่เป็นประมาณ 1-3 เท่า เป็นต้น ดังนั้น การควบคุมปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

 ทำอย่างไรจะป้องกัน อัมพาต ได้

          ดังได้กล่าวมาแล้ว การควบคุมปัจจัยเสี่ยงล้วนสามารถป้องกันการเกิด อัมพาต ได้ การป้องกันในระยะยังไม่มี อัมพาต เป็นสิ่งที่แพทย์สามารถให้คำแนะนำได้

           ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่จัด มีประวัติเบาหวานในครอบครัว  จำเป็นต้องได้รับการตรวจร่างกาย วัดความดันโลหิต เอ็กซเรย์ปอด คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจเลือดหาระดับน้ำตาล ไขมัน ตลอดจนการตรวจหาเชื้อซิฟิลิสในเลือด อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง จะเป็นการทำให้เราทราบว่ามีโรคประจำตัวหรือไม่ เมื่อพบว่ามีโรคเหล่านี้ตั้งแต่ระยะแรก ๆ จะทำให้การควบคุมและการป้องกันแทรกซ้อนของโรคสามารถทำได้ง่าย

           สำหรับผู้ป่วยบางรายที่มีโรค อัมพาต อยู่แล้ว และกำลังรักษาอยู่ สิ่งที่สำคัญก็คือ ทำอย่างไรให้อาการนั้นดีขึ้น และป้องกันไม่ให้เกิดอัมพาตซ้ำ การควบคุมอาหาร เลือกรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผู้ป่วยที่มีโรคเบาหวานควรควบคุมอาหารรสหวานทุกชนิด เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ผลไม้รสหวานทุกชนิด อาหารจำพวกแป้ง เช่นข้าว ขนมปัง เป็นต้น แนะนำให้รับประทานผลไม้จำพวกส้ม หรือมะละกอ

           ส่วนผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง ถ้ามีไขมันโคเลสเตอรอลสูง ควรงดอาหารจำพวกไข่แดง ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ ปลาหมึกหอยนางรม กุ้ง เป็นต้น

           แต่ถ้ามีไขมันไตรกรีเซอไรด์สูง ควรงดอาหารจำพวกแป้งดังกล่าวมาแล้ว นอกจากนี้ควรรับประทานยาและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งหมั่นไปพบแพทย์เป็นระยะ ๆ จะช่วยให้อาการเหล่านั้นดีขึ้น และยังป้องกันไม่ให้เกิด อัมพาต ซ้ำ

 ผลที่เกิดกับผู้ป่วย อัมพาต

           ผู้ป่วยที่เป็น อัมพาต ในระยะแรกพบว่า จะมีอาการเลวลงได้ถึง 30%  ถ้ามีโรคแทรกซ้อน เช่น น้ำตาลในเลือดสูง ปอดบวม หรือชัก ก็ยิ่งมีอัตราการเสียชีวิตสูงขึ้นไปอีก ในช่วงเดือนแรกหลังเกิดอาการพบว่ามีอัตราตายถึง 25% และใน 1 ปีมีอัตราตายถึง 40% โอกาสที่จะเป็น อัมพาต ซ้ำในระยะ 1 เดือนแรกหลังเกิด อัมพาต พบได้ถึง 3-5% และ 10% ใน 1 ปี

           เมื่อเราติดตามผู้ป่วยเหล่านี้ต่อไปจะพบว่า ผู้ป่วยจะไม่สามารถทำงานได้ถึง 50% ซึ่งในจำนวนนี้ มีถึง 25%  ที่ต้องอยู่ในสถานพยาบาลเป็นเวลานาน นอกจากนี้ 30% ของผู้ป่วยจะเกิดโรคสมองเสื่อมตามมา

            จะเห็นได้ว่า โรคอัมพาต เป็นโรคที่ทำให้เกิดความสูญเสียทั้งในแง่ของตัวผู้ป่วยเอง ญาติพี่น้องที่จะต้องดูและช่วยเหลือ ทำให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในครอบครัวและส่วนรวม การป้องกันโรคอัมพาตสามารถทำได้ โดยการคอยตรวจสุขภาพร่างกายสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้เราสามารถมีชีวิตที่มีความสุข ช่วยเหลือตนเองได้โดยไม่ต้องเป็นภาระของครอบครัว

ที่มา kapook

กลิ่นตัวเเรงมีวิธีการรักษาอย่างไร


กลิ่นตัวเเรงมีวิธีการรักษาอย่างไร

     คนเราแต่ละคนและแต่ละเชื้อชาติจะมีกลิ่นตัว เป็นลักษณะเฉพาะของคนนั้นๆ บางคนก็มีกลิ่นตัวค่อนข้างจะเป็นเสน่ห์ คือ กลิ่นตัวหอม น่าสูดดมในขณะที่อีกหลายคนจะมีกลิ่นตัวไม่สู้จะน่าคบหาสมาคมเท่าใดนัก



       เพราะมีกลิ่นตัวแรง แต่คนที่น่าสงสารที่สุดก็คือผู้ที่มีกลิ่นตัวเหม็นจนเป็นที่น่ารังเกียจของสังคม
ในปัจจุบันนี้เป็นที่ทราบว่าคนที่มีกลิ่นตัวเหม็นมากๆ คล้ายกลิ่นของปลาเน่า คือคนที่เป็นโรค “Fish-Malodor Syndrome”ซึ่งมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมไปยังลูกหลานได้ด้วย โดยวิธีทางพันธุกรรมที่ชื่อว่า “Mendelianautosomal recessive transmission”


      คนที่เป็นโรค Fish-Malodor Syndrome (FOS ) หรือที่มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Primary trimethylaminuria นั้นนับว่าเป็นผู้ที่โชคร้ายมากเพราะเป็นที่รังเกียจของสังคมและบุคคลทั่วไปแม้กระทั่งในสมาชิกของครอบครัวตนเอง คนเหล่านี้มักจะพยายามไปหาแพทย์ พระ หรือแม้กระทั่งหมอผีเพื่อที่จะทำให้กลิ่นตัวของตนเองทุเลาลง บางคนที่หมอทั้งหลายรักษาแล้วไม่หาย ก็อาจจะได้รับการอธิบายว่าชาติก่อนคงไปกระทำบาปอะไรไว้ต่างๆ นานา และบางคนที่ไปพบแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งไม่เข้าใจถึงพยาธิสภาพของการเกิดกลิ่นตัวเหม็นนี้ ก็อาจจะแนะนำให้ผู้โชคร้ายเหล่านี้รับประทานยาคลายเครียดยาคลายกังวล หรือยากล่อมประสาท ซึ่งเป็นที่น่าสลดใจมาก เพราะว่าหลังจากการรับประทานยาเหล่านี้เข้าไปแล้ว ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ป่วยมีสภาวะทางจิตไม่ดีขึ้นแล้ว ยังทำให้กลิ่นตัวเหม็นขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

ในสหรัฐอเมริกาและในสหราชอาณาจักร ผู้ป่วยที่เป็น FOS คนหนึ่งๆ อาจจะต้องเสียค่ารักษาไปเป็นเงินถึงกว่าหนึ่งแสนดอลล่าร์ แต่ก็ยังไม่อาจทำให้อาการกลิ่นตัวเหม็นลดลง หลายคนมีอาการทางจิต และคิดสั้นถึงกระทั่งคิดจะฆ่าตัวตายก็มี สำหรับในประเทศทางแถบเอเซียนั้นอุบัติการณ์ของ FOS นั้นคงไม่น้อยไปกว่าร้อยละ 1 และก็ไม่ยากนักที่จะพบคนที่เป็นโรคนี้ในบ้านเราเพราะว่าในประเทศไทยนั้นประกอบไปด้วยชนชั้นหลายเผ่าพันธุ์ และการแต่งงานของประชาชนก็เป็นไปอย่างเสรี ไม่มีสิ่งใดกีดกั้น จึงเป็นเรื่องง่ายที่เกิดการกลายพันธุ์ของยีนส์ซึ่งเป็นสารพันธุกรรมที่ทำหน้าที่ควบคุมการเกิดโรคนี้

ผู้เขียนได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องโรคกลิ่นตัวเหม็น หรือ FOS มามากว่า 15 ปีแล้ว โดยการกระตุ้นจาก Professor Robert L. Smith จากมหาวิทยาลัยลอนดอน ในประเทศสหราชอาณาจักร และก็รู้สึกว่าจะเป็นผู้ที่โชคดี ที่ผลงานวิจัยได้รับการตีพิมพ์ในวารสารอันทรงเกียรติ และได้รับรางวัล ”The 1998 Wellcome Trust Award for a Study of Rare Disease” จากกองทุน Wellcome Trust ของประเทศสหราชอาณาจักร ซึ่งนับว่าเป็นเกียรติประวัติแก่ผู้เขียนและประเทศไทยเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะได้รับรางวัลนี้แล้ว ยังได้รับเชิญให้ไปบรรยายในการประชุมระดับโลก เรื่อง “ การมีกลิ่นตัวเหม็นของร่างกาย (Fish-Malodor Syndrome )” เมื่อวันที่ 29-30 มีนาคม พ.ศ. 2542 ซึ่งจัดขึ้นที่ National Institutes of Health (NIH ) เมือง Bethesda ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยได้รับการสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการวิจัยจาก NIH และกองทุน Wellcome Trust อีกด้วย

สาเหตุของการเกิดโรค

กลิ่นตัวของคนที่เป็นโรค FOS นั้นจะเหมือนกันกับกลิ่นของปลาเน่า ซึ่งโดยแท้จริงแล้วก็คือกลิ่นของสารเคมีชื่อ trimethylamine (TMA ) ที่ถูกกำจัดออกมาจากเหงื่อ ปัสสาวะ และน้ำคัดหลั่งของร่างกายเรานั่นเอง สาร TMA นี้เป็น metabolic product ของอาหารต่างๆ ที่เรารับประทานกัน และจะมีมากในอาหารประเภทไข่แดง เนื้อสัตว์ และถั่วหลายชนิด กล่าวโดยย่อก็คือเมื่อเรารับประทานอาหารดังกล่าวเข้าไป แบคทีเรียในทางเดินอาหารซึ่งมีอยู่มากกว่า 70 ชนิด ก็จะเปลี่ยนแปลงสารเคมีที่มีอยู่ในอาหาร 3 ตัวคือ choline,betaine และ carnitine ให้เป็น TMA ซึ่งก็จะถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายโดยผ่านทางกระแสเลือด

ในคนที่ไม่เป็นโรค FOS นั้น TMA ก็จะถูกเอนไซม์ของตับชื่อ flavin-containing monooxygenase ฟอร์มที่ 3 (FMO3 ) ทำลายด้วยการเปลี่ยนเป็นสารชื่อ TMA-0 (trimethylamine N-oxide ) ซึ่งเป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีและไม่มีกลิ่นเหม็นเลย แล้วก็ถูกขับออกร่างกายทางน้ำคัดหลั่งต่างๆ รวมทั้งในปัสสาวะด้วย แต่ในคนที่เป็นโรค FOS นั้น TMA จะไม่ถูกเปลี่ยนแปลงเลยเพราะ FMO3 gene ของตับไม่สามารถสร้างเอนไซม์ตัวนี้ได้เพียงพอ อันเนื่องมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ดังนั้น TMA จึงถูกกำจัดออกมาจากร่างกายในปริมาณที่มาก จึงทำให้ปัสสาวะ เหงื่อ และลมหายใจมีกลิ่นเหม็นมากคล้ายกลิ่นปลาเน่า ซึ่งทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้สามารถสรุปเป็นกลไกการเกิดโรคกลิ่นตัวเหม็นดังแสดงไว้ในรูปที่ 1

ยังมีอีกหลายสภาวะที่ทำให้ FMO3 ของร่างกายทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร เช่น ได้รับยาบางชนิด (steroids, TCAs, ranitidine ), โรคตับพิการ โรค Turner’s syndrome, Noonan’s syndrome หรือแม้กระทั่งในระหว่างการมีประจำเดือนของสตรี เป็นต้น


ที่จริงแล้ว TMA นี้ไม่ใช่ตัวที่จะคุกคามการดำเนินชีวิตของคนเรา แต่มันก็สามารถทำให้คนที่เป็นโรค FOS นี้หลายรายพยายามที่จะหาวิธีรักษาและขจัดมัน เช่น การสูบบุหรี่จัดเพื่อจะบดบังกลิ่นเหม็นของ TMA การใช้ยาดับกลิ่น ใช้สมุนไพรหรือใช้น้ำหอม เป็นต้น บ่อยครั้งที่แพทย์ไม่เข้าใจกลไกของการเกิดโรคกลิ่นตัวเหม็น ก็จะแนะนำวิธีการรักษาที่ผิดๆ เช่น ผ่าตัดต่อมเหงื่อ ผ่าตัดต่อมไทรอยด์ ผ่าตัดมดลูก หรือให้รับประทานยาจำพวก benzodiazepines เข้าไปเป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้ผลเลย ยิ่งกว่านั้นยากล่อมประสาทและยาคลายเครียดทั้งหลาย ยังให้ผลร้ายแก่ผู้ที่มีกลิ่นตัวเหม็นเหล่านี้อีกด้วย กล่าวคือทำให้กลิ่นตัวเหม็นมากขึ้น เพราะมันไปยับยั้งการทำงานของ FMO3 ซึ่งยังส่งผลให้ระดับของ TMA ในร่างกายสูงมากขึ้นด้วย



วิธีวินิจฉัย

โดยทั่วไปคนปกติจะกำจัด TMA ออกมาทางปัสสาวะโดยเฉลี่ยวันละ 30-50 มิลลิกรัม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะอาหารที่รับประทาน แต่ปริมาณของ TMA นี้จะนำมาใช้เป็นตัวกำหนด บอกว่าใครเป็นโรค FOS คงไม่ได้ เพราะว่าค่าของมันในแต่ละวันเปลี่ยนแปลงได้ง่ายสำหรับแต่ละคน

ดัชนีที่น่าจะเป็นตัวชี้บอกของโรคนี้ก็คือค่า metabolic ratio (MR ) ซึ่งได้แก่อัตราส่วน TMA/TMA-O ของสารทั้งสองตัวนี้ที่ถูกกำจัดออกมาทางปัสสาวะ ซึ่งในคนปกติจะมีค่าน้อยกว่า 1.0 เสมอ แต่สำหรับคนที่เป็นโรค FOS ค่านี้ก็จะสูงมากกว่า 1.0 เสมอเช่นกัน อาจจะสูงถึง 5.0-6.0 ด้วยซ้ำไป ทั้งนี้เพราะในคนปกติ TMA จะถูกเอนไซม์ FMO3 ของตับทำลายเกือบร้อยละ 100 จึงทำให้ค่า MR ต้องน้อยกว่า 1.0 เสมอ เช่นกัน

อย่างไรก็ดี นอกจากจะใช้ค่า MR สำหรับการตรวจวินิจฉัยแล้ว ยังต้องซักประวัติและตรวจสอบกลิ่นตัวของผู้ป่วยโดยการดมด้วยจมูกโดยตรงอีกด้วยเพราะบางคนอาจมีกลิ่นตัวเหม็นไม่มาก ทั้งๆที่มี MR ค่อนข้างสูง ทั้งนี้เพราะผู้ป่วยอาจจะมีการรักษาและดูแลอนามัยของตนเองดีมาก แต่ถ้าจะให้แน่นอนแล้วจะต้องทำ genotyping test เพื่อยืนยัน โดยพบว่า mutation เกิดขึ้นที่ exon ใด exon หนึ่งในโครโมโซมคู่ที่ 1 เช่น มี missense mutationPro153Leu เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคนี้รายหนึ่ง เป็นต้น

วิธีการรักษา

เป็นที่น่ายินดีว่าในขณะนี้มีวิธีการรักษา FOS ที่ถูกหลักวิชาการ กล่าวคือพยายามลดอาหารที่มี choline สูงเพราะสารตัวนี้จะถูกแบคทีเรียในทางเดินอาหารเปลี่ยนไปเป็น TMA แล้วถูกดูดซึมเข้าร่างกาย ตัวอย่างอาหารดังกล่าว เช่น ปลาเค็ม เนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง ไข่แดงและถั่ว เป็นต้น (ตารางที่ 1 ) การรักษาอีกวิธีหนึ่งก็คือการใช้ยาปฎิชีวนะ เช่น metronidazole (Flagyl ) เพื่อไปยับยั้งการทำงานของแบคทีเรียดังกล่าว แต่วิธีนี้อาจจะเสี่ยงต่อการแพ้ยา หรือการเกิดผลข้างเคียงอันเกิดจากการใช้ยา (ตารางที่ 2 ) สำหรับวิธีที่ดีที่สุดที่หลายสถาบันกำลังพัฒนาอยู่ในขณะนี้ก็คือการตัดต่อยีนส์ (gene therapy ) เพื่อเร่งให้ร่างกายสามารถผลิต FMO3 ให้ทำงานได้เช่นปกติ

ไขมันเเบ่งมีประเภทต่างๆ


ไขมันเเบ่งมีประเภทต่างๆ

ไขมันแบ่งได้เป็น 3 ชนิดใหญ่ ๆ คือ

คอเลสเตอรอล เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ เป็นองค์ประกอบสำคัญในเยื่อของสมองและระบบประสาท ใช้สร้างกรดน้ำดี ทั้งยังเป็นวัตถุดิบในการสร้างฮอร์โมนบางชนิด เช่น ฮอร์โมนเพศชาย ฮอร์โมนเพศหญิง และฮอร์โมนคอร์ติโซน และเป็นส่วนประกอบในโมเลกุลของวิตามิน ร่างกายสามารถสร้างคอเลสเตอรอลขึ้นเองได้จากตับ คอเลสเตอรอลที่ได้จากอาหารมีเฉพาะในอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้น มีมากในอาหารบางชนิด เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ มันสัตว์ สัตว์น้ำบางชนิด


ฟอสโฟไลปิด เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายใช้เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์ผนังหลอดเลือด เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นสารลดความตึงผิวที่อยู่ภายในถุงลมของปอด ถ้าขาดสารนี้เสียแล้ว ถุงลมปอดก็ไม่อาจพองตัวได้ในยามที่เราสูดลมหายในเข้าไป ฟอสโฟไลปิดจึงเป็นทั้งสารที่ร่างกายต้องใช้ในขณะทำงานตามสรีรภาพของร่างกาย

ไตรกลีเซอไรด์ ส่วนใหญ่ไขมันที่เรากินไปทั้งหมด ก็คือไตรกลีเซอไรด์ ช่วยสร้างความอบอุ่นให้แก่
ร่างกาย และยังเป็นตัวทำละลายสำหรับวิตามินกลุ่มมี่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ ดี อีและเค
ไตรกลีเซอไรด์ จะประกอบด้วย ไตรกลีเซอรอลกับกรดไขมันอีก 3 โมเลกุล

กรดไขมัน แบ่งได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ ตามโครงสร้างทางชีวเคมี คือ

กรดไขมันอิ่มตัว (saturated fatty acid) จะมีอะตอมของคาร์บอนที่ต่อกันเป็นลูกโซ่ด้วยพันธะเดี่ยวเท่านั้น  โดยที่แขนของคาร์บอนแต่ละตัวจะจับอะตอมของไฮโดรเจนเต็มไปหมด ไม่มีแขนว่างอยู่เลยไขมันชนิดนี้จะมีอยู่ในอาหารจำพวกที่ เราเห็นเป็นชั้นสีขาวติดอยู่ในเนื้อสัตว์ หรือหนังสัตว์ปีก ไข่แดง น้ำมันหมู เนย นม ผลิตภัณฑ์จากนม รวมถึงน้ำมันที่ได้จากพืชบางชนิดก็เป็นแหล่งไขมันอิ่มตัวด้วย เช่น กรดไขมัน พาลมิติก (palmitic) ที่มีมากในน้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว ในไขมันสัตว์และผลิตภัณฑ์นมเนย กรดไขมันชนิดนี้จะมีสถานะอันเฉื่อยเนือยในกระบวนการเคมีของร่างกาย ถ้าไม่ถูกย่อยไปใช้เป็นพลังงานก็มีแนวโน้มที่จะตกตะกอนในหลอดเลือด ทำให้ไขมันในเลือดสูง เกิดความเสี่ยงที่จะอุดตันในหลอดเลือดได้ เป็นต้นเหตุของโรคความดันโลหิตสูง หัวใจและสมองขาดเลือด เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ฯลฯ

กรดไขมันไม่อิ่มตัว(unsaturated fatty acid)  จะมีอะตอมของคาร์บอนที่เรียงตัวกันเกิดมีบางตำแหน่งที่จับไฮโดรเจนไม่เต็มกำลังเกิดมีแขนคู่ (double bond) อยู่บางตำแหน่ง ทำให้มันมีความว่องไวในปฏิกิริยาทางเคมีพร้อมที่จะเปิดรับปฏิกิริยาต่าง ๆ ด้านหนึ่งก็เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย การบริโภคไขมันชนิดนี้จะช่วยให้     คอเลสเตอรอลในเลือดลดลงแต่อีกด้านหนึ่งก็พร้อมที่จะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นกลายเป็นอนุมูลอิสระตัวก่อปัญหาทางสุขภาพ

2.1 กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เรียกว่า monounsaturated fatty acid (MUFA) เป็นกรดไขมันที่มีธาตุคาร์บอนต่อกันด้วยพันธะคู่เพียงหนึ่งตำแหน่ง การรับประทานอาหารไขมันประเภทนี้ ทดแทนไขมันอิ่มตัวจะช่วยลดระดับ LDL Cholesterol ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดีก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบ
* อาหารที่มีกรดไขมันชนิด MUFA ได้แก่ อะโวคาโด ถั่วลิสง น้ำมันมะกอก และคาโนลา

2.2 กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน เรียกว่า polyunsaturated fatty acid (PUFA) หมายถึง กรดไขมันที่มีธาตุคาร์บอนต่อกันด้วยพันธะคู่อยู่หลายตำแหน่ง หากรับประทานแทนไขมันอิ่มตัว จะไม่เพิ่มระดับไขมันในร่างกาย

* อาหารที่มีไขมันชนิด PUFA ได้แก่ น้ำมันพืชทั้งหลาย เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน และน้ำมันดอกคำฝอย

น้ำมันพืชทุกชนิดมีส่วนประกอบของไขมันอิ่มตัวไขมันไม่อิ่มตัวแบบโมเลกุลเดียว และไขมันไม่อิ่มตัวแบบหลายโมเลกุลในสัดส่วนที่แตกต่างกันไป

พึงมีข้อระวังอย่างหนึ่งว่า น้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวยิ่งสูง ยิ่งไวต่อการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เกิดเป็นอนุมูลอิสระอันเป็นสารพิษที่บั่นทอนสุขภาพ โดยเฉพาะการทำให้ร้อนจัด เช่น การทอด ร้อนจัด หรือใช้เป็นน้ำมันทอดซ้ำ ๆ เพราะความร้อนในการทอดครั้งแรกก็ได้ทำลายแขนคู่ในน้ำมันไปแล้วดังนั้นจึงไม่ควรปรุงอาหารด้วยความร้อนสูงจัดเกินไป

ในปี 1993, คณะกรรมการจาก Harvard University School of Public Health และ the Oldways Preservation and Exchange Trust, a Boston based educational organization ได้ทบทวนหลายๆการศึกษาทางระบาดวิทยา พบว่ามีความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมการบริโภคอาหารของชาวเมดิเตอร์เรเนียน (แถบกรีซ ทางใต้ของอิตาลี และทางเหนือของแอฟริกา) กับการลดอุบัติการณ์การเป็นโรคหัวใจและมะเร็ง อาหารของชาวเมดิเตอร์เรเนียน มีพาสต้า พร้อม ผักสด ผลไม้ ถั่ว เมล็ดพืช อาหารส่วนใหญ่ปรุงด้วยน้ำมันมะกอก (แหล่งไขมันไม่อิ่มตัวแบบหลายโมเลกุลสูงที่สุด) ส่วนเนื้อสัตว์มีตำแหน่งบนโต๊ะอาหารเป็นเพียงเครื่องเคียงไม่จัดเป็นอาหารจาน หลักในแต่ละมื้อ

การเลือกน้ำมันปรุงอาหาร

ควรเลือกน้ำมันพืชชนิดที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวโมเลกุลเดี่ยวในปริมาณสูง และมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวแบบหลายโมเลกุลปานกลาง และมีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำ ซึ่งน้ำมันพืชก็จะเหม็นหืนน้อยกว่าน้ำมันจากสัตว์ เพราะในน้ำมันพืชมีวิตามินอี ที่เป็นตัวต้านการทำปฏิกริยาระหว่างออกซิเจนและคาร์บอนของโมเลกุลในน้ำมันพืช

แล้วจะกินอย่างไรให้มีสุขภาพดี

คำตอบคือไม่ควรกินไขมันทั้งหมดเกิน 30% ของปริมาณแคลอรีที่ร่างกายได้รับในแต่ละวัน     หมายถึง ไขมันทุกชนิดรวมกัน คือ ไขมันอิ่มตัว ไขมันไม่อิ่มตัวแบบโมเลกุลเดี่ยวและไขมันไม่อิ่มตัวแบบหลายโมเลกุล และไม่ควรรับไขมันอิ่มตัวเกิน 10% ของปริมาณแคลอรีทั้งหมดต่อวัน รับประทานอาหารในแต่ละวันให้หลากหลาย และให้พลังงานรวมแล้วเพียงพอ ต่อการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น กะทิ ไขมันจากสัตว์ หนังสัตว์ เนื้อสัตว์ที่มีมันติดมากๆ เช่น หมูสามชั้น เพราะกรดไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่ ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น แม้ว่าน้ำมันพืชที่มีปริมาณไขมันไม่อิ่มตัวสูง จะดีต่อสุขภาพของเรามากกว่าไขมันอิ่มตัวก็ตามแต่ก็ควรกินในปริมาณพอเหมาะ หากได้รับปริมาณมากเกินไป จะไม่ต่างอะไรกับการกินอาหารที่มีไขมันสูง คือเพิ่มความเสี่ยงที่จะมีน้ำหนักตัวเกินเป็นโรคอ้วน ก่อให้เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ปัญหาหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคมะเร็ง

From แพทย์หญิงสายพิณ  โชติวิเชียร

อาการปวดเมื่อยเกิดจากอะไร

อาการปวดเมื่อยเกิดจากอะไร

ผู้สูงอายุหลายท่าน มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ยาวันละหลาย ๆ เม็ด และพบว่ายาที่ผู้สูงอายุใช้มากกลุ่มหนึ่ง คือยาแก้ปวด ซึ่งรวมทั้งยาลดอาการอักเสบของกล้ามเนื้อและข้อ ยาชุด และยาลูกกลอน ทั้งนี้เนื่องจากผู้สูงอายุมักจะพบกับปัญหาปวดตามตัว และปวดได้เกือบทุกที่ เช่น ปวดต้นคอ ปวดไหล่ ปวดหลัง เอว ปวดขา และปวดเข่า บางโรคปวดเวลาเดิน พอนอนพักอาการก็จะดีขึ้น บางโรคพอนอนแล้วอาการกลับมากขึ้น พอเดินไปสักพักก็ค่อยยังชั่ว ผู้สูงอายุจึงต้องพึ่งยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดเหล่านี้

อาการปวดเมื่อยเกิดได้จากสาเหตุหลายอย่าง ได้แก่



1. การปวดเมื่อยที่มีสาเหตุจากกล้ามเนื้อ

กล้ามเนื้อทำงานมากในบางตำแหน่ง ทำให้เกิดความล้าหรือเกิดอาการหดเกร็งเฉพาะที่ ส่วนใหญ่อาการปวดแบบนี้จะปวด ๆ เมื่อย ๆ ในบริเวณของกล้ามเนื้อที่มีปัญหา มักพบที่ศอกหลังและเอวเป็นส่วนใหญ่ และมักจะเป็นผลมาจากการอยู่ในท่าใดท่าหนึ่ง ที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน ๆ เช่น นั่งก้มหลังมากเกินไป อาจจะเพราะมีความเคยชิน หรือหลังโกงจากกระดูกสันหลังทรุด

กล้ามเนื้อหลังบางส่วนมีการหดเกร็งมากกว่าปกติ ทำให้ปวดได้ สาเหตุที่พบบ่อยอีกประเภทหนึ่ง คือ ท่านอนที่ไม่เหมาะสม เช่น ใช้หมอนสูงเกินไป ทำให้คอเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งมากกว่าปกติ ที่นอนนิ่มเกินไป พอลงไปนอนที่นอนยุบตัวลง ทำให้กระดูกสันหลังอยู่ในลักษณะโก่งงอเป็นเวลานาน พอตื่นขึ้นมาจะรู้สึกเมื่อย และในทางกลับกันถ้าใช้ที่นอนแข็งเกินไป และนอนหงายเป็นส่วนใหญ่ กระดูกสันหลังส่วนเอวจะมีการแอ่นตัวผิดปกติ เพราะส่วนก้นและสะโพกก้นติดกับพื้น หนุนให้ส่วนเอวแอ่นขึ้นทำให้ปวดหลังได้เช่นกัน การยกของหนักโดยใช้ท่าที่ไม่ถูกต้อง ก็ทำให้เกิดการปวดเจ็บที่กล้ามเนื้อได้ จึงต้องระมัดระวังเกี่ยวกับการยกของเป็นพิเศษ

2. อาการปวด จากเส้นเอ็น

พบบ่อยบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวข้อมาก ๆ เช่น บริเวณไหล่ ศอก ข้อมือ ส้นเท้า เอ็นร้อยหวาย เกิดจากการอักเสบของเส้นเอ็นในบริเวณนี้ และถ้าไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจจะทำให้เกิดความพิการต่อไป เช่น ไหล่ติด ยกแขนไม่ขึ้น ทำให้ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามที่ควรจะเป็น

3. อาการปวดจากเส้นประสาทถูกกดทับ

ทำให้มีอาการปวดแสบ และร้าวไปตาม เส้นประสาทนั้น ๆ ถ้ามีอาการมาก อาจจะทำให้กล้ามเนื้อที่เลี้ยงด้วยเส้นประสาทนั้นอ่อนแรงลง ถ้าเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงขาถูกกด อาจจะทำให้เดินลำบากได้ ตำแหน่งที่พบบ่อยคือที่บริเวณกระดูกคอ เกิดขึ้นจากกระดูกสันหลังบริเวณคอเสื่อม มีแคลเซียมมาเกาะ และกดลงไปที่เส้นประสาทที่ออกจากช่องระหว่างกระดูกคอ

ผู้ป่วยจะมีอาการปวดที่คอ ไหล่ และอาจจะปวด ลงไปที่แขน และมือ ส่วนใหญ่มักจะมีอาการที่คอด้านใดด้านหนึ่ง บางรายถ้าเป็นมากอาจจะเป็นทั้ง 2 ด้านก็ได้

นอกจากที่คอแล้ว บริเวณหลัง เอว ก็เกิดอาการนี้ได้บ่อยเช่นกัน ส่วนมากเกิดจากการยกของหนัก ในท่าที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ส่วนของกระดูกสันหลังที่เรียกว่า หมอนรองกระดูก ซึ่งอยู่ระหว่างกระดูกสันหลัง 2 อัน เคลื่อนออกมาจากตำแหน่งเดิม มากดทับเส้นประสาทที่อยู่ใกล้เคียง ผู้ป่วยจะเกิดอาการปวดหลังอย่างมาก และส่วนใหญ่จะเป็นแบบเฉียบพลัน จะมีอาการปวดร้าวไปที่ขาข้างใดข้างหนึ่ง อาการปวดที่รุนแรงจนถึงขั้นต้องนอนพักหลาย ๆ วัน

4. ปวดข้อ

ผู้สูงอายุเป็นโรคข้อได้หลายโรค ที่เจอบ่อยได้แก่ข้อเสื่อม ส่วนมากมักพบที่หัวเข่า โดยเฉพาะในรายที่อ้วนมาก หรือในคนที่ทำงานแบกหาม ต้องแบกของน้ำหนักมาก ๆ นาน ๆ ทำให้ข้อเข่าต้องรับน้ำหนักมากกว่าปกติ ผู้ที่ต้องขึ้นลงบันไดบ่อย ๆ หลาย ๆ ครั้ง และขึ้นลงอย่างรุนแรง (วิ่งหรือกระโดดลง) ทำให้กระดูกอ่อนในข้อเข่าเสื่อมมากกว่าปกติ เมื่ออายุมากขึ้นจะเกิดอาการปวดข้อได้ ลักษณะการนั่งของคนไทยที่นิยมนั่งกับพื้น โดยการนั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิหรือนั่งยอง ๆ มีการพับงอของหัวเข่าอย่างมาก เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อรอบเข่า มีการยืดผิดปกติ และในช่วงที่มีการงอเข่ามาก ๆ เลือดจะมาเลี้ยงเข่าไม่สะดวก ทำให้หัวเข่าไม่แข็งแรง และเกิดปัญหาในเวลาต่อมาได้

นอกจากนี้ที่บริเวณหัวเข่าแล้ว ข้อเสื่อมบริเวณนิ้วมือก็พบได้ไม่น้อยเช่นกัน จะมีอาการปวดและข้อบวมโตกว่าปกติ ที่ข้อนิ้วมือส่วนปลายเกือบทุกนิ้ว ส่วนมากมักพบในสตรี คิดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับการทำงานที่ใช้มือมากเช่น ซักและบิดผ้า เป็นต้น

การปวดข้อที่เกิดจากสาเหตุอื่นได้แก่ จากโรคเก๊าท์ การติดเชื้อในข้อ และโรคข้อชนิดอื่น เช่น รูมาตอยด์ เป็นต้น ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ส่วนใหญ่ มักจะเริ่มปวดข้อครั้งแรกในวัยกลางคน มักปวดที่ข้อที่ข้อนิ้วหัวแม่เท้าเป็นส่วนใหญ่ แต่อาจจะปวดที่ข้ออื่น ๆ ก็ได้ อาการปวดมักเริ่มในตอนกลางคืน และปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนผู้ป่วยต้องตื่นขึ้นมา ที่ข้อจะมีอาการบวม แดง ร้อนชัดเจน และเจ็บมากเวลามีการเคลื่อนไหวหรือถูกกระทบกระทั่ง สาเหตุเกิดจากกรดยูริกในเลือดไปตกตะกอนที่ข้อ ทำให้เกิดการอักเสบขึ้น ในผู้ป่วยบางรายได้รับการรักษาอาการข้ออักเสบจากเก๊าท์ดีขึ้นแล้ว มักจะคิดว่าหายแล้ว และไม่ได้ติดตามรับการรักษาต่อไป อาจจะกลับมามีอาการปวดข้อได้อีกเป็นระยะ ๆ ส่วนมากจะพบหลังจากการปวดครั้งแรกประมาณ 5-10 ปี ดังนั้นถ้าหากได้รับการวินิจฉัยว่า ปวดข้อจากโรคเก๊าท์ ผู้ป่วยจะต้องดูแลตนเอง ควบคุมอาหารที่อาจจะกระตุ้นให้โรคกำเริบขึ้นอีก แล้วจะต้องพบแพทย์และติดตามการรักษาเป็นระยะ เพื่อควบคุมให้ปริมาณกรดยูริกในเลือดอยู่ในระดับที่เหมาะสม

5. การปวดเมื่อยจากเส้นเลือด

ถ้ามีการผิดปกติของเส้นเลือดแดง หรือเส้นเลือดดำก็จะทำให้เกิดอาการปวดได้ แต่ลักษณะการปวดจะแตกต่างกันไป ถ้าเส้นเลือดแดงตีบแคบลง เลือดเดินไปสู่กล้ามเนื้อไม่สะดวก จะทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยที่กล้ามเนื้อนั้น ๆ ได้ การปวดจะเป็นค่อนข้างเร็ว และมักจะมีอาการจนทำให้ผู้ป่วยต้องหยุดการเคลื่อนไหว หรือการใช้งานของกล้ามเนื้อนั้น ๆ เช่น ถ้าเส้นเลือดแดงที่ขาตีบ ถ้าเดินมากกล้ามเนื้อขาต้องการเลือดไปเลี้ยงมากขึ้น แต่เลือดไปไม่ได้ ทำให้กล้ามเนื้อทำงานต่อไปไม่ไหว เกิดอาการเจ็บปวดจนต้องหยุดเดินและนั่งพัก หลังจากหยุดเดินสักพักอาการดีขึ้น ปวดลดลง ก็สามารถจะเดินต่อไปได้อีก

หลอดเลือดดำผิดปกติ เกิดจากหลอดเลือดดำมีการโป่งพอง เนื่องจากลิ้นกั้นในหลอดเลือดดำผิดปกติไป ส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ขา พบในคนที่ต้องยืนทำงานเป็นเวลานาน ๆ และอาจพบบ่อยในสตรีที่มีบุตรหลาย ๆ คน เพราะการตั้งครรภ์บุตรแต่ละคนนั้น เมื่อทารกในครรภ์โตขึ้น ก็จะกดลงที่เส้นเลือดดำในช่องท้องส่วนล่าง ทำให้เลือดดำจากขากลับสู่ช่องท้องไม่สะดวก เลือดจึงคั่งอยู่ที่ขา ทำให้ลิ้นกั้นในหลอดเลือดดำเสีย เกิดอาการปวดเมื่อยที่กล้ามเนื้อซึ่งมีเลือดคั่งอยู่ ส่วนมากจะมีอาการตอนช่วงเย็นของวันที่มีการยืนมาก ๆ และบางครั้ง อาจปวดมากขึ้นในเวลานอน ถึงขั้นรบกวนการนอนหลับก็เป็นได้


หลักในการป้องกันและรักษาผู้ที่มีปัญหาปวด เมื่อย


ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ

การถนอมใช้

ขา เข่า เท้า เป็นอวัยวะที่ช่วยให้เราเคลื่อนไหวไปมาในที่ต่าง ๆ ได้ ควรใช้อย่างเหมาะสม หลีกเลี่ยงท่านั่งที่ทำให้เกิดปัญหาต่อหัวเข่า หลีกเลี่ยงการยืนอยู่เฉย ๆ เป็นเวลานาน แต่ถ้ามีความจำเป็นเพราะอาชีพบังคับ ก็ต้องพยายามหาช่วยเหลือให้อวัยวะส่วนนั้นรับภาระเท่าที่จำเป็น หลีกเลี่ยงการวิ่งหรือกระโดดบนพื้นที่ขรุขระ เพราะทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อข้อเท้าและหัวเข่า พยายามอย่าอ้วน เพื่อมิให้เข่าต้องรับน้ำหนักตัวมากเกินจำเป็น ส่วนการถนอมใช้กระดูกสันหลั งและกล้ามเนื้อหลังนั้น หลักใหญ่ควรอยู่ที่รู้จักทรงตัว และอยู่ในท่าที่เหมาะสมทั้งท่านั่ง นอน ยืนและเดิน การยกของหนักก็ต้องมีวิธียกที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายต่อกล้ามเนื้อหลังและกระดูกสันหลัง

การเพิ่มศักยภาพ

กล้ามเนื้อในผู้สูงอายุมีการฝ่อ ลีบไปตามวัย ยิ่งอายุมากขึ้นปริมาณกล้ามเนื้อในร่างกายก็ลดลงเรื่อย ๆ ทำให้ขาดความแข็งแกร่ง และเมื่อต้องทำงานที่เกินความสามารถของกล้ามเนื้อนั้น ก็จะทำให้เกิดการหดเกร็งตัวผิดปกติ อาจมีการบาดเจ็บทำให้เกิดอาการเจ็บปวดได้ จึงควรออกกำลังบริหารกล้ามเนื้อที่ต้องรับภาระหนักเสมอ ๆ เช่น กล้ามเนื้อคอ ไหล่ แขน หลัง หน้าท้อง ให้แข็งแรงเพื่อสามารถปฎิบัติภาระกิจได้ตามความจำเป็น การฝึกกล้ามเนื้อรอบข้อสม่ำเสมอ ทำให้ข้อนั้นมีความมั่นคงไม่เกิดการบาดเจ็บง่าย ๆ ผู้ที่มีปัญหาเส้นเลือดขอดหรือเส้นเลือดดำโป่งพองทำให้ปวดขา สามารถผ่อนคลายอาการได ้โดยใช้ถุงเท้ายาวหรือผ้ายืดที่มีลักษณะเป็นถุงใส่รัดขา ซึ่งจะช่วยบังคับให้เลือดไหลกลับเข้าสู่ช่องท้องได้ดีขึ้น

การพยาบาล

เมื่อมีอาการเจ็บปวดเฉียบพลัน ในบางกรณีอาจมีการเจ็บปวดอย่างมากที่กล้ามเนื้อ ข้อ หรือที่กระดูกต่าง ๆ การช่วยเหลือในระยะต้นได้แก่

หยุดพักร่างกายส่วนนั้น

ถ้าอาการปวดเกิดจากการเกร็งตัวหรือการอักเสบของส่วนนั้น ๆ ให้ประคบความร้อน แต่ถ้ามีอาการบาดเจ็บเลือดออกในข้อหรือกล้ามเนื้อ จะต้องประคบด้วยความเย็นใน 24 ชั่วโมงแรกของการบาดเจ็บเพื่อให้เลือดหยุด หลังจาก 24 ชม. ไป แล้วจึงจะให้ประคบอุ่นหรือประคบความร้อน
ถ้ามีอาการมากต้องปรึกษาแพทย์

หลังจากผ่านช่วงความเจ็บปวดเฉียบพลันแล้ว จะต้องบริหารส่วนที่บาดเจ็บอย่างช้า ๆ และสม่ำเสมอ เพื่อให้ส่วนนั้นได้กลับมาทำงานต่อไป และลดภาวะ เอ็นยึด ข้อติด ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นภาวะทุพพลภาพได้

© 2001 พญ. สิรินทร ฉันศิริกาญจน

ริมฝีปากเเห้งเกิดจากอะไร

ริมฝีปากเเห้งเกิดจากอะไร


อะไรคือสาเหตุของปากแห้งแตก? (Lisa)

          คุณเคยสงสัยใช่มั้ยว่า บางทีก็ไม่ใช่ฤดูหนาวซะหน่อย แต่ทำไมริมฝีปากถึงแห้งแตกได้อยู่เรื่อย ๆ วันนี้เรามีคำตอบ


          สาเหตุที่ทำให้ปากแห้งแตกนั้น ไม่ใช่มาจากสภาพอากาศที่แห้งในฤดูหนาวอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยที่เราได้รวบรวมมาฝากคุณแล้ว

          ผิวขาดน้ำ ถ้าคุณดื่มน้ำน้อย ผิวทั่วร่างกายรวมทั้งริมฝีปากก็จะแห้งเพราะขาดน้ำ ฉะนั้น คุณจึงควรดื่มน้ำเยอะ ๆ อย่างน้อยก็วันและแปดแก้ว



          เลียริมฝีปาก คุณอาจคิดว่าการเลียริมฝีปากบ่อย ๆ จะช่วยทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้นขึ้น แต่จริง ๆ แล้วเอนไซม์ในน้ำลายจะทำให้ความชุ่มชื้นระเหยออกไปเร็วขึ้น ฉะนั้น ก็หยุดเลียริมฝีปากได้แล้ว



          นอนอ้าปาก การนอนอ้าปากหรือสูดหายใจทางปากบ่อย ๆ ก็ทำให้ปากแห้งแตกได้ เพราะสูญเสียความชุ่มชื้นในขณะเปิดปาก คุณสามารถป้องกันได้โดยทาครีมหรือลิปบาล์มเป็นประจำ

          แพ้สารบางอย่าง เป็นไปได้ว่าสารบางอย่างในลิปสติก หรือเครื่องสำอางทำให้คุณเกิดอาการแพ้ คุณควรหาให้เจอว่าคุณแพ้อะไร แล้วอาการปากแห้งแตกก็จะหายไปเอง

ที่มา lisa